ผมเกิดในครอบครัวโยคะเชื้อสายอินเดีย โดยมีคุณพ่อคุณแม่เป็นครูสอนหฐโยคะ ครอบครัวผมให้ความสำคัญกับวิถีชีวิตแบบโยคะแบบองค์รวม ไม่ว่าจะเป็น การนอนตื่นเช้า เรื่องอาหารการกิน ปรัชญาโยคะ สำหรับในส่วนของการฝึกอาสนะนั้นก็จะให้ความสำคัญในแง่ของการฟื้นฟูร่างกายทั้งภายนอกและภายในเป็นหลัก ซึ่งผมเองก็ได้ซึมซับเรื่องราวเหล่านี่มาตลอดตั้งแต่เล็กจนโต
จนเมื่อผมเข้าสู่วัยรุ่น ผมเริ่มออกกำลังกายด้วยการยกเวท และบอดีเวทควบคู่กันไป จนกระทั่งได้มีโอกาสฝึกโยคะอย่างจริงจัง และได้ศึกษาจนจบหลักสูตรครูสอนโยคะร้อนจากอเมริกา
หลังจากผมได้สอนโยคะมาได้ระยะหนึ่ง จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อผมเริ่มเห็นการบาดเจ็บของนักเรียนที่ฝึกโยคะ ผมจึงเริ่มสนใจด้าน Rehabilitation หรือการฟื้นฟูร่างกายจากการบาดเจ็บ และตั้งใจศึกษาความรู้เรื่องอนาโตมี และกลศาตร์การเคลื่อนที่ หรือ Biomechanic ของร่างกายให้ลึกซึ้ง และได้มีโอกาสเรียนรู้ฝึกฝนการเคลื่อนไหวอีกหลากหลายศาสตร์ที่น่าสนใจมากมายจากต่างประเทศ จนมีความรู้ ความเข้าใจในพื้นฐานการเคลื่อนไหวของมนุษย์
ตัวตนของผม ณ ปัจจุบัน จึงไม่ได้จำกัดแค่การสอนการเคลื่อนไหวแบบโยคะ หรือการออกกำลังกายในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง แต่เป็นการสอน และแนะนำการเคลื่อนไหวที่สามารถตอบโจทย์ร่างกายของแต่ละคนโดยเฉพาะ ในฐานะ Movement Therapist หรือ Movement Coach
ในการฝึกการเคลื่อนไหวแบบใดก็ตาม รวมถึงการฝึกโยคะให้เกิดประโยชน์สูงสุด เราควรเริ่มจากการเข้าใจร่างกายในแง่ของสรีรวิทยาว่าทุกคนต่างมีข้อจำกัดทางร่างกายที่แตกต่างกัน รวมถึงการทำงานของระบบประสาทก็ส่งผลต่อคุณภาพการเคลื่อนไหวด้วย ดังนั้นท่าทางต่าง ๆ จึงควรจะต้องมีการปรับตามสรีระและประสบการณ์ของผู้ฝึกที่แตกต่างกัน
ดังนั้นการสอนของผมจึงเน้นการสอนแบบประยุกต์ ไม่มีถูก หรือผิด มีแต่ความพอดี หรือความเหมาะสมกับร่างกายของผู้ฝึกแต่ละคน ตลอดการสอน 14 ปีที่ผ่านมา ผมได้นำจุดเด่นของศาสตร์โยคะมาผสมกับกับการเคลื่อนไหวในรูปแบบต่าง ๆ ของมนุษย์ เพื่อช่วยในการบำบัดและเพิ่มประสิทธิภาพในการเคลื่อนไหวให้ดีขึ้น
โยคะเป็นการฝึกทั้งกายและใจผ่านลมหายใจ การฝึกการหายใจจึงมีประโยชน์มาก เพราะคุณภาพของการหายใจนั้นส่งผลต่อคุณภาพการเคลื่อนไหว เราจะเคลื่อนไหวได้ดี ถ้าเราสามารถควบคุมลมหายใจของเราได้
ดังนั้น การฝึกโยคะในมุมมองของผม คือ การเดินทางเพื่อตามหาความสมดุลให้กับชีวิต
นมัสเต
เรียนกับครู Sukh
